fbpx

สรยุทธ สุทัศนะจินดา กลายเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้งเมื่อเขาได้รับการพักโทษในวันที่ 14 มีนาคม 2564 แน่นอนว่ามีทั้งคนที่รอคอยให้เขากลับมาและเสียงวิจารณ์ต่ออดีตของเขา ซึ่งในครั้งแรกที่สรยุทธได้ออกมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพนั้น สรยุทธได้กล่าวว่า “โลกหมุนไว ผมคงต้องปรับตัวสักพัก ยังไม่พร้อมอ่านข่าวในระยะเวลานี้”

แน่นอนว่าหลังจากนั้นเขาก็ซุ่มเงียบไปเป็นเวลาร่วมเดือนกันเลยทีเดียว เขาพยายามอัพเดตข่าวสารให้แฟนคลับของเขาได้ติดตามกันเป็นระยะๆ โดยที่หลายช่องก็จับตามองไปไม่น้อยเช่นเดียวกันว่าถ้าเขากลับมา เขาจะกลับมาในท่าไม้ตายไหนกันแน่?

จนกระทั่ง 1 เมษายน 2564 มีประกาศจากบริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด (บริษัทผู้ได้รับใบอนุญาตเพื่อการออกอากาศทีวีดิจิทัล ช่อง 3HD) แต่งตั้ง สรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นที่ปรึกษาด้านข่าว ขึ้นตรงต่อกรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ (สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์) นั่นคือดอกแรกที่ช่อง 3 ปล่อยหมัดออกมา

หลังจากนั้นไม่นาน 19 เมษายน 2564 สรยุทธก็ได้เปิดตัว 5 คนข่าว 5 ช่วงเวลาของช่อง 3 โดยมีการปรับในบางช่วงเวลาให้มีความน่าสนใจมากขึ้น และถัดจากนั้นไม่นานก็ปล่อยหมัดเด็ดในวันที่ 27 เมษายน 2564 ว่าตนจะกลับมาทำหน้าที่ในรายการแรกคือ เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ อีกครั้ง

นั่นเป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่ทางช่อง 7HD ปล่อยอีกหนึ่งหมัดที่วางแผนมาร่วมปี คือการสร้างฉาก VDO Wall ประกอบการนำเสนอข่าวในรายการสนามข่าว 7 สี ซึ่งมีความยาวมากถึง 22 เมตร พื้นที่รวม 50 ตารางเมตร ซึ่งก็ทำให้หลายคนฮือฮาไปไม่น้อยที่ช่อง 7HD กล้าลงทุนฉากจริงในรอบหลายปีเลยทีเดียว

ถึงวันจริง 1 พฤษภาคม 2564 สรยุทธเริ่มต้นทำหน้าที่ข่าวร่วมกับ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ในรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเรตติ้งในช่วงวันแรกของการออกอากาศนั้นกินขาดในพื้นที่กรุงเทพฯ กวาดไปได้มากกว่า 6.920 และในต่างจังหวัดกวาดไปกว่า 1.737 รวมแล้วเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 2.479 ชนะรายการอื่นๆ ในช่วงเดียวกันไปได้อย่างขาดลอย ในขณะที่วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 นั้นทำเรตติ้งไปได้ถึง 7.157 ในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดทำเรตติ้งไปถึง 1.691 รวมกันแล้วได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 2.473

แต่นั่นเป็นเพียงแค่สมรภูมิทดลองเท่านั้น เพราะหลายช่องก็เตรียมงัดไม้เด็ดมาในวันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 กันแล้ว (ยกเว้นช่องเจ๊แอน 18 ที่ขอลาพักร้อนก่อน แล้วกลับมาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564) สิ่งที่หลายคนต่างมอนิเตอร์หน้าจอก็ปรากฏในเวลา 05.59 น. เมื่อสรยุทธได้เริ่มต้นอ่านข่าวเช้า ด้วยความรู้สึก “ตื่นเต้น” และขอให้ทุกคนกลับมาดูเขาทางหน้าจอโทรทัศน์ ภายใต้แนวคิด “เปิดเรื่องเล่าไม่เปลืองไฟ”

เขาเริ่มต้นอ่านข่าวด้วยความตื่นเต้น สลับกับกังวลเล็กน้อย เนื่องจากตนเองยังไม่คุ้นชินกับการอ่านข่าวแบบเบรกโฆษณา ทำให้เวลากินรายการอื่นไปประมาณ 3 นาทีในวันแรก และค่อยๆ ปรับตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยแรร์ไอเท็มเด็ด เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤษภาคม 2564 เขาได้กล่าวในขณะที่อ่านข่าวเรื่องโควิด-19 ว่า “ขออนุญาตท่านผู้ชมนะครับ ถ้าดูเรื่องเล่าเช้านี้แล้วจะผิดหวัง เราไม่ได้มีข่าวทั่ว ๆ ไป เหตุลัก-วิ่ง-ชิง-ปล้น เหตุทะเลาะวิวาท เลือดสาด เรื่องเกี่ยวกับปาฏิหาริย์อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้องยกเอาไว้นิดนึง เพราะว่าประเทศนี้ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการฝ่าวิกฤตมหันตภัยโควิด-19 ณ ขณะนี้”

นั่นทำให้เขาได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมในโลกออนไลน์มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหนก็ตาม ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ตบหน้าช่องข้างๆ เขาไปได้แล้วหนึ่งนัด” ส่วนถ้าถามว่าข้างไหน บอกได้เลยว่าลองกดซ้ายกดขวาดูนะครับ

ในขณะที่สนามข่าว 7 สีในการเปิดปฐมฤกษ์ฉากใหม่วันแรก พบว่าเป็นกระแสบนโลกออนไลน์เหมือนกัน โดยในวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 พบว่าผู้ชมต่างชื่นชมกับฉากใหม่พอสมควร และยังได้เห็นศักยภาพการทำข่าวของช่อง 7 ในอีกขั้นหนึ่งด้วย

แน่นอนว่าในส่วนของเรตติ้งเฉลี่ย สนามข่าว 7 สีกินขาด ด้วยตัวเลข 1.593 (3/05/2564) และ 1.424 (4/05/2564) และแน่นอนว่ายังครองจอคนต่างจังหวัดด้วยเรตติ้ง 1.665 (3/05/2564) และ 1.354 (4/05/2564) ในขณะที่เรื่องเล่าเช้านี้ขยับขึ้นมาเป็นที่ 2 ได้สำเร็จ ด้วยเรตติ้งเฉลี่ย 1.158 (3/05/2564) และ 1.172 (4/05/2564) แน่นอนว่าในเขตกรุงเทพฯ เรื่องเล่าเช้านี้กินขาดด้วยตัวเลข 3.095 (3/05/2564) และ 3.091 (4/05/2564)

ในขณะที่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 นั้น เรื่องเล่าเช้านี้ยังได้โชว์ตัวเลขสถิติทางโลกออนไลน์ โดยพบว่ามีผู้คนรับชมรายการเรื่องเล่าเช้านี้บน YouTube มากกว่า 200,000 วิว, บน Facebook Watch มากกว่า 310,000 วิว, บน Ch3Plus มากกว่า 70,000 วิว รวมกันมากกว่า 580,000 วิวเลยทีเดียว

เป็นที่น่าจับตามองว่าในช่วงเวลาหลังจากนี้ แต่ละช่องจะงัดไม้เด็ดอะไรมาอีก ไม่ว่าจะเป็นช่อง JKN18 ภายใต้การนำของ “จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ที่ปรับช่องข่าวแบบเต็มเหนี่ยว หรือช่องอื่นๆ ที่กำลังมอนิเตอร์ข่าวของสองช่องเจ้าแห่งตลาดแบบตาไม่กระพริบเลยทีเดียว เอาเป็นว่าต้องดูกันไปนานๆ ละกันนะครับ