fbpx

Thai Movie : ซบเซาอีกครั้งหลังจากที่ฟื้นตัวคึกคักขึ้นมาในปี 2561

ภาพรวมอุตสาหกรรมหนังไทยในปี 2562 เรียกได้ว่าคึกคักน้อยกว่าปี 2561 อยู่พอสมควร จากข้อมูลประมาณการโดย ชมรมวิจารณ์บันเทิง ระบุว่าสถิติในช่วงเดือน มกราคม – สิงหาคม มีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้เกิน 10 ล้านบาทเพียง 8 เรื่องเท่านั้น ได้แก่ Friend Zone, พี่นาค, ขุนบันลือ, แสงกระสือ, ออนซอนเด, หลวงตามหาเฮง, สงกรานต์แสบสะท้านทรวง, และแช่ง ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่ควร

อย่างไรก็ตามแม้ในเรื่องของตัวเลขรายได้และกระแสอาจจะดูซบเซาลง แต่ตลอดทั้งปีก็ยังมีภาพยนตร์ที่น่าสนใจ มีคุณภาพดี และเป็นที่พูดถึงในวงกว้างรวมไปถึงเป็นกระแสในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนสามารถคว้ารางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ในต่างประเทศมาได้ ซึ่งทางทีมงานส่องสื่อก็ได้รวบรวมหนังไทยและประเด็นที่น่าสนใจในแวดวงภาพยนตร์ไทย มาดังนี้

Friend Zone ระวัง…สิ้นสุดทางเพื่อน
ยักษ์ใหญ่ผู้กวาดรายได้ในช่วงต้นปีแรก

ฤกษ์งามยามดี 14 กุมภาพันธ์วันแห่งความรัก ค่ายยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ไทย GDH ได้ปล่อยภาพยนตร์รักโรแมนติก – ดราม่าสูตรสำเร็จอย่าง “Friend Zone ระวัง…สิ้นสุดทางรัก” โดยถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของ GDH ในปีนี้ มาพร้อมกับนักแสดงชื่อดัง อย่าง “นาย” นภัทร และ “ใบเฟิร์น” พิมพ์ชนก โดยคุณภาพและความสนุกของ Friend Zone นั้นก็การันตีด้วยนามสกุล GDH ซึ่งแน่นอนว่าไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะมีกระแสตอบรับที่ดีมาก โดยรายได้เปิดตัวสูงถึง 14.02 ล้านบาท และรายได้รวมประมาณ 130 ล้านบาท ถือเป็นหนังไทยเรื่องแรกของปีที่ทำรายได้ทะลุร้อยล้าน

นอกจากนี้ Friend Zone ยังบุกตลาดเพื่อนบ้าน โดยเข้าไปสร้างสถิติเป็นหนังที่ทำรายได้เปิดตัววันแรกสูงสุดในกัมพูชา (ประมาณ 1.6 ล้านบาท) และขึ้นแท่นเป็นหนังทำเงินรวมสูงสุดตลอดกาลในกัมพูชา (ทำเงินไปทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านบาท) อีกประเทศหนึ่งก็คือประเทศเวียดนาม ที่สามารถทำสถิติเป็นหนังไทยเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกสูงสุดตลอดกาลในเวียดนาม (เปิดตัวประมาณ 15 ล้านบาท) และเป็นหนังไทยทำเงินสูงสุดตลอดกาลในเวียดนาม โดยกวาดเงินไปสูงถึง 70 ล้านบาท

กระแสชื่นชมที่ล้นหลาม

สำหรับภาพยนตร์ไทยที่ได้รับกระแสชื่นชมอย่างมากในเรื่องของ เนื้อหา และตัวเทคนิค CG ที่เรียกได้ว่ามีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ได้แก่ “แสงกระสือ” จากค่าย Tranformation Film ผลงานการกำกับของ “โดม” สิทธิศิริ มงคลศิริ แถมยังได้ ผู้กำกับมะเดี่ยว เข้ามามีบทบาทในเรื่องของบทภาพยนตร์อีกด้วย แสงกระสือเข้าฉายเมื่อ 14 มีนาคม ซึ่งได้ขนนักแสดงวัยรุ่นมาเต็มขบวนอย่าง “โอบ” โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์, “เกรท” สพล อัศวมั่นคง และ “มินนี่” ภัณฑิรา พิพิธยากร

แสงกระสือ เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก – สยองขวัญ ที่ตีความหมายใหม่ให้กับ กระสือ ผีประจำพื้นบ้านของไทย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องด้วยพล็อตที่น่าสนใจและโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้สวยงาม เหนือความคาดหมาย จึงได้รับเสียงตอบรับในแง่บวกอย่างล้นหลาม มีการพูดถึงในโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก จนสามารถทำรายได้ทะลุร้อยล้านบาทได้สำเร็จ และได้รับคัดเลือกให้เป็นภาพยนตร์ไทยที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 92 ใน สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best Foreign Language Film Award) อีกด้วย

เดินสายล่ารางวัล

Credit : SoccerSuck

จากผลงานของผู้กำกับหนังไทยนอกกระแสฝีมือดีอย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่ได้คลอดผลงานเรื่อง “Where We Belong” จากค่าย BNK48 Film นำแสดงโดยศิลปินจากวง BNK48 “เจนนิษฐ์” เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ และ “มิวสิค” แพรวา สุธรรมพงษ์ ซึ่งสามารถพา Where We Belong ไปโลดแล่นในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยเนื้อเรื่องที่พยายามถ่ายทอดถึงความคับอกคับใจในวัยรุ่นว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ของเราใช่ไหม? ประกอบกับการแสดงของทั้ง เจนนิษฐ์ และ มิวสิค ที่ถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ของวงการแต่สามารถแสดงออกมาได้สมบทบาททำให้กระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีเป็นที่บอกเล่ากันปากต่อปาก

Where we belong นั้นได้ถูกนำไปฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในอีกหลายประเทศเรียกได้ว่าเดินสายตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะงาน Hainan Island International Film Festival 2019 (จีน) / Taipei Golden Horse Film Festival  (ไต้หวัน) / Five Flavors Film Festival (โปแลนด์) / QCinema International Film Festival 2019 (ฟิลิปปินส์)

ซึ่งนอกจากจะถูกนำไปฉายตามงานเทศกาลแล้ว ก็ยังสามารถคว้ารางวัลมาครอบครองได้อีกด้วย เช่นในงาน Busan International Film Festival 2019 โดย เจนนิษฐ์ ได้คว้ารางวัลนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และ รางวัล The Asian Stars: Up Next (ทั้งเจนนิษฐ์และมิวสิค) จากงาน International Film Festival & Awards Macao นับเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของแวดวงภาพยนตร์ไทยในปีนี้และยังเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของบรรดาแฟนคลับ BNK48 อีกด้วย

กระแสร้อนในโลกออนไลน์

สำหรับหนังไทยที่ได้รับความสนใจและเป็นที่ถกเถียงในสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก ได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง

Credit : mereview.in.th

“DEW : ดิว ไปด้วยกันนะ” ภาพยนตร์ดัดแปลงจาก เรื่อง Bungee Jumping of Their Own ของประเทศเกาหลี ดำเนินการสร้างโดย CJ MAJOR ENTERTAINMENTS ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงอย่างมากตั้งแต่ชื่อเสียงของผู้กำกับ “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ผู้ที่เคยฝากผลงานหนังรักวัยรุ่น LGBT ชื่อดังอย่าง “รักแห่งสยาม” ที่เป็นหนังรักในดวงใจของคนไทยหลายๆ คน การกลับมาครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองอย่างมาก เพราะได้นักแสดงชื่อดังอย่าง “เวียร์” ศุกลวัฒน์ คณารศ พร้อมด้วย 3 นักแสดงหน้าใหม่ “โอม” ภวัต จิตต์สว่างดี, “นนท์” ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ และ “ปั๋น” ดริสา การพจน์ โดยผู้กำกับมะเดี่ยวเองก็ยังคงหยิบยกประเด็น LGBT ขึ้นมาเล่าอีกครั้งแต่เพิ่มเติมประเด็นอื่นๆ เข้ามาซึ่งทำให้ “ดิว” กลายเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงอย่างมากทั้งในโลกออนไลน์และบอกเล่ากันแบบปากต่อปาก

ดิว ไปด้วยกันนะ นั้นให้กลิ่นอายความรักกุ๊กกิ๊กของวัยรุ่นช่วงยุค 90 ทำให้เราเหมือนย้อนกลับไปในช่วงที่ยังเรียนมัธยมอยู่ ทั้งสถานที่ เพลงประกอบและองค์ประกอบต่างๆ เทคนิคการถ่ายทำที่ใช้โทนสีได้อย่างน่าสนใจ ช่วยให้สะกดอารมณ์ของผู้ชมให้เข้าถึงเนื้อเรื่องได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีการเพิ่มเรื่องราวแฟนตาซีลงไป พร้อมกับสอดแทรกประเด็นความรักที่ทำให้สังคมออกมาตั้งคำถามว่า “ความรักระหว่างตัวละครนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม?” และสุดท้ายก็คือเนื้อเรื่องและการลำดับเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกจุกๆ ที่หัวใจ หม่นหมอง เศร้าสร้อย และจบโดยให้ผู้ชมจินตนาการต่อเอาเอง

ภาพยนตร์ไทยอีกเรื่องนึงที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ นั่นก็คือ “THE CAVE : นางนอน” ผลงานของผู้กำกับ ทอม วอลเลอร์ ที่อ้างอิงถึงเหตุการณ์ภารกิจช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่า ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ซึ่งหลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกฉายออกไปในวันที่ 21 พฤศจิกายน ก็ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นจากโลกออฟไลน์และออนไลน์ถึงประเด็นที่หนังเสียดสี จนทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง อดีตผู้อำนวยการศูนย์ในภารกิจกู้ภัยถ้ำหลวง ออกมาแสดงความไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นTHE CAVE ก็เป็นที่ถูกใจของหลายๆ คนเกิดเป็นกระแสเชิญชวนให้ไปดูกันอย่างมากในโลกออนไลน์

ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจในปีนี้

 พลังของผู้บริโภค

กรณีของดารานักร้องชื่อดัง “ปั้นจั่น” ปรมะ อิ่มอโนทัย ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง ซึ่งเนื้อหาของโพสต์นั้นได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนทั่วไปอย่างมาก นำไปสู่กระแสต่อต้านจนถึงขั้นชักชวนให้แบนภาพยนตร์ “รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน” ที่ ปั้นจั่น แสดงนำ

กระแสต่อต้านที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบทางลบในเรื่องของรายได้ จนเจ้าตัวต้องออกมาขอโทษถึงการกระทำของตนเอง หตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะนักแสดงนั้นต้องระมัดระวังตนและวางตัวให้เหมาะสม มิเช่นนั้นอาจจะส่งผลเสียหายต่อผลงานของตนได้

ส่งท้ายสิ้นปี

Credit : GDH559

ภาพยนตร์ไทยที่น่าจับตามองช่วงสิ้นปีนี้ ได้แก่ “ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค” ผลงานจาก GDH ที่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสดราม่ามากมาย แต่ด้วยความตลกของเนื้อเรื่องและการกลับมารับงานภาพยนตร์อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานของ “ชมพู่” อารยา เอฮาร์เก็ต ก็ช่วยดึงดูดให้ผู้คนแห่กันไปดูจนสามารถทำรายได้เปิดตัวทั่วประเทศได้ถึง 55 ล้านบาท

“Heartbeat : ฮาร์ทบีท เสี่ยงนัก…รักมั้ยลุง” จาก Tranformation Films ภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่ารักต่างวัย ที่แสดงนำโดยพระเอกขวัญใจประชาชน “เคน” ธีรเดช และ “พรอย” มนสภรณ์ โดยจะมีกำหนดการเข้าฉายในวันที่ 12 ธันวาคม

และสุดท้าย“ฮาวทูทิ้ง.. ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” ผลงานการกำกับโดย เต๋อ นวพล นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมืออย่าง “ซันนี่” สุวรรณเมธานนท์ และ “ออกแบบ” ชุติมณฑน์ ซึ่งมีกำหนดการเข้าฉายในวันที่ 26 ธันวาคม และเช่นเดียวกันกับภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของ เต๋อ นวพล ที่จะมีลีลาการโปรโมทโดยสร้างไวรัลให้กับแฟนๆ เข้ามาร่วมสนุกจนกลายเป็นกระแส #ฮาวทูทิ้ง ในโลกออนไลน์


International Movie : สรุปภาพรวมที่น่าสนใจในวงการภาพยนตร์ต่างประเทศ

ในปี 2019 สำหรับวงการภาพยนตร์นั้น เรียกได้ว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่น่าจดจำและจะถูกพูดถึงไปอีกนาน เนื่องจากมีภาพยนตร์ที่ได้สร้างปรากฏการณ์มากมาย ทั้งการทุบสถิติ การกลับมา การสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการ ซึ่งก็ได้มีประเด็นที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย โดยทางเราก็ได้ทำการรวบรวมสถานการณ์ในแวดวงภาพยนตร์ต่างประเทศที่น่าสนใจมาให้ติดตาม ดังนี้

บทสรุปของ Avenger และการโค่นแชมป์ Avatar

Credit : Sanook

ปีนี้ถือเป็นปีที่น่าใจหายของสาวก Avenger ที่เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงจุดจบแล้วใน Avenger : Endgame แต่ในทางกลับกันก็ถึงเวลาที่จะได้เฉลยคำถามที่ได้สร้างความสงสัยให้กับบรรดาผู้รับชมทั่วโลกว่า “เหล่า Avenger จะจัดการกับ Thanos อย่างไร?” และ “ใครจะตายบ้างในตอนจบ?” ซึ่ง Endgame ได้เข้าฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 เมษายน โดยรายได้เปิดตัวสูงถึง 38,623 ล้านบาท ขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงตลอดกาล ควบตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทะลุพันล้านเหรียญสหรัฐเร็วที่สุด แค่นี้ยังไม่พอ Endgame ยังสามารถทำรายได้รวมทั่วโลกแซงหน้า Avartar อดีตแชมป์เก่าที่อยู่ค้างฟ้ามาตั้งแต่ปี 2009 ได้สำเร็จด้วยเม็ดเงินรวมทั้งหมดกว่า 2,798 ล้าน เหรียญสหรัฐ กลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลอันดับ 1 ของโลก

ไม่ใช่แค่ความสำเร็จด้านรายได้และการไล่ทุบสถิติต่างๆ แต่ยังถูกพูดถึงอย่างมากทั้งกระแสรีวิว วิจารณ์ วิเคราะห์ การคิดค้นทฤษฎีต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย จนต้องหลบสปอยล์กันเป็นว่าเล่น อีกทั้งยังเกิดปรากฏการณ์ Avenger Fever ที่ไม่ว่าจะเดินไปที่ใด ก็จะพบเจอแต่สินค้า Marvel เต็มไปหมด และยังมีประโยคสุดฮิตแสนกินใจที่ทำให้การพูดคำว่า  “I Love You.” ไม่ซึ้งเท่า “I Love You 3000.”

นอกจาก Avenger Endgame แล้วปีนี้ทาง Marvel ก็ได้ฤกษ์ปล่อยภาพยนตร์เรื่อง “Captain Marvel” หนังเดี่ยวของซุปเปอร์ฮีโร่หญิงคนแรก ซึ่งตัวเลขรายได้รวมก็สูงถึง 1,130 ล้านเหรียญสหรัฐ และสุดท้ายคือภาคต่อของฮีโร่สุดกวนขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “Spiderman : Far From Home” ซึ่งทำรายได้รวมไปทั้งสิ้น 1,132 เหรียญสหรัฐ

จักรวาลใหม่แห่ง JOKER กับการสร้างปรากฏการณ์ไปทั่วทั้งโลก

อีกครั้งกับตัวละคร Anti – Superhero ที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในโลกอย่าง “JOKER” ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ถือเป็นหนังเดี่ยวเต็มๆ ครั้งแรกของตัวละครนี้ โจ๊กเกอร์ในเวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกับการตีแผ่เบื้องหลังชีวิตที่แสนเศร้าและเต็มไปด้วยความหดหู่ โดยในเวอร์ชั่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่และฉีกกฎหนังเรต R ที่แม้จะมีเนื้อหาดาร์กมากๆ แต่ก็แมสมากๆ เช่นกัน การนำเสนอโจ๊กเกอร์ในรูปแบบนี้ถือเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เพราะในเวอร์ชั่นก่อนหน้าตัวละครโจ๊กเกอร์ที่รับบทโดย ฮีท เลดเจอร์ นั้นเรียกได้ว่าเป็น The Best Version ในทุกๆ มิติแล้วซึ่งมันยากมากที่จะหาใครมาแทนที่ แต่ใน JOKER ปี 2019 ที่รับบทโดย วาคีน ฟินิกซ์ นั้นแตกต่างออกไป ด้วยคาแรคเตอร์และบทรวมไปถึงการแสดงของเขา มันสร้างความแตกต่าง และเพียงพอที่จะได้รับการยอมรับ ทำให้โจ๊กเกอร์ในปีนี้เป็นโจ๊กเกอร์โดยวาคีน ไม่ใช่โจ๊กเกอร์ในแบบที่จะไปเปรียบเทียบกับ ฮีท  

หากย้อนกลับไปตอนต้นปีในภาพยนตร์รูปแบบเดียวกันนั้นเรียกได้ว่าตกเป็นของ Avenger Endgame อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจาก 3 ตุลาคม ที่ JOKER ได้เข้าฉาย นับตั้งแต่วินาทีนั้นกระแสทุกด้านทุกช่องทางไม่ว่าจะออฟไลน์หรือออนไลน์ก็ตกเป็นของ JOKER ทันที สิ่งที่ JOKER ได้สร้างเอาไว้นั้นก็คือการชุบชีวิตหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่สายดาร์กที่นำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่ตรงข้ามกับความดีแทน (โดยการนำเสนอในรูปแบบความดีปราบความเลวนั้นเป็นสิ่งที่หนังแนวนี้ทำมาตลอด) กระแสที่เกิดขึ้นเป็นไปในทิศทางบวกอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับ “คนเลว” ถึงที่มาของมัน ซึ่งความมหัศจรรย์ของเรื่องนี้ก็คือการทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างมาร่วมกันขบคิด ถกเถียงกัน เป็นการตื่นตัวทางความคิดที่น่ายินดี

ในแง่ของความสำเร็จด้านรายได้ก็ไม่ธรรมดาเพราะสามารถทำรายได้รวมถึง 1,050 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ รั้งอันดับที่ 35 ของภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล ควบตำแหน่งหนังเรต R ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล และภาพยนตร์ตัวละครจากหนังสือคอมมิคที่ทำกำไรได้มากที่สุดตลอดกาลอีกด้วย

พลังแห่งการ Remake ของ Disney

ผลงานภาพยนตร์รีเมคที่น่าจับตามองเป็นของ Disney ทั้ง 2 เรื่อง โดยหยิบยกการ์ตูนชื่อดังสุดคลาสสิคอย่าง Aladdin และ The Lion King มาทำใหม่ในรูปแบบ Live-Action

เปิดฉากมาด้วย “Aladdin” ที่เข้าฉายเมื่อ 22 พฤษภาคม โดยได้ “มีนา มาซูด” รับบทเป็น อะลาดิน เจ้าหนูหัวขโมยผู้มีเพื่อนซี้เป็นลิง และ “นาโอมิ สก็อตต์” รับบทเป็น เจ้าหญิงจัสมิน ผู้โหยหาชีวิตผจญภัย และที่ขาดไม่ได้อีกตัวละครที่หลายๆ คนหลงรักอย่าง ยักษ์จินนี่ ยักษ์วิเศษที่มาพร้อมกับพรสามประการ รับบทโดย “วิล สมิธ” หลังจากเข้าฉาย Aladdin สามารถทำรายได้ไปได้ทั้งสิ้น 1,051 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลลำดับที่ 34 และนอกจากความสนุกที่มาจากต้นฉบับเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Aladdin เป็นที่พูดถึงก็คือ เพลงประกอบภาพยนตร์ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้คนทั้งโลกต้องร้องว่า “A whole new world ~” โดยตัวอัลบั้ม Aladdin (Original Motion Picture Soundtrack) เองนั้นเป็นที่จดจำและพูดถึงพอๆ กับตัวภาพยนตร์เลยทีเดียว

ทางด้าน “The Lion King” เข้าฉายเมื่อ 17 กรกฎาคม โดยการนำมาทำในรูปแบบ Live Action ครั้งนี้เรียกได้ว่าสวยสดงดงามจนเนรมิตรให้สัตว์น้อยใหญ่ในเรื่องดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความน่ารัก จนไม่ว่าใครก็ต้องอุทานว่า “น้องงงง” ให้กับ ซิมบ้า ด้านงานเสียงก็จัดเต็มด้วยทีมนักพากษ์ที่ได้ศิลปินคุณภาพอย่าง Childish Gambino มาให้เสียงเป็น ซิมบ้า และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ควีนบี “Beyoncé” ในบทบาทของ นารา

The Lion King นั้นสามารถกวาดรายได้ไปทั้งสิ้น 1,656 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลาดกาลของโลกลำดับที่ 7

การกลับมาของการ์ตูนที่ครองใจคนทั้งโลก

Credit : Disney

อีกหนึ่งแนวภาพยนตร์ที่ต้องพูดถึงเลยก็คือการ์ตูนโดยเฉพาะในปีนี้ที่เป็นการกลับมาของสุดยอดการ์ตูนขวัญใจและเป็นวัยเด็กของคนทั้งโลก นั่นก็คือ Frozen 2 และ Toy Story 4

ยักษ์ใหญ่อย่าง Disney กับ “Frozen 2” ได้กลับมาอีกครั้งหลักจากผ่านไป 6 ปี ในที่สุดแฟนๆ ที่ได้พบกับเจ้าหญิงน้ำแข็ง “เอลซ่า” และน้องสาวจอมแก่น “อันนา” ซึ่งในภาคนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยงานภาพที่ยิ่งใหญ่ สวยงามกว่าเดิม อีกทั้งคอสตูมของเอลซ่าที่ทุกคนพร้อมใจกันพูดว่าสวยมากๆ สำหรับด้านงานเพลงที่ถึงแม้จะไม่ได้มีบทเพลงที่เป็นที่จดจำและฮิตเท่าเพลง “Let it go” หรือ “Do you want to build a snowman?” แต่ภาพรวมนั้นก็เรียกได้ว่ามีเพลงเพราะมากมาย อย่างเช่น “Into the Unknown” และอีกมากที่ทำให้การรับชม Frozen 2 นั้นสนุกสนานเพลิดเพลิน

ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือด้วยระยะห่างระหว่างภาค 1 และ 2 ทำให้ในภาคนี้ได้มีการสอดแทรกให้เห็นถึงพัฒนาการการเติบโตหลายๆ อย่างทั้งตัวละคร และความสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับ โอลาฟ ที่ได้พูดถึงการเติบโตไม่ใช่เพียงแค่การเติบโตของตัวเองแต่ยังหมายถึงการเติบโตของพวกเราคนดูอีกด้วย

โดยรายได้รวมทั่วโลกตอนนี้สูงกว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งส่งผลให้สตูดิโอ Disney เข้าใกล้กับตำแหน่งการเป็น สตูดิโอแรกในประวัติศาสตร์ ที่สามารถทำรายได้รวมจากภาพยนตร์ทั้งหมดในเครือทะลุ 10,000 ล้านได้สำเร็จ (ปัจจุบันอยู่ที่ 9,997 พันล้าน) *ข้อมูล ณ วันที่ 8 ธันวาคม

ส่วนทางด้าน Pixzar ก็ได้ส่ง “Toy Story 4” กลับมาอีกครั้งหลังจากภาค 3 เมื่อปี 2010 ที่จบได้อย่างซาบซึ้ง เรียกน้ำตาจากผู้รับชมได้เป็นจำนวนมาก โดยในภาค 4 เข้าฉายเมื่อ 20 มิถุนายน เนื้อเรื่องในภาคนี้ต่อเนื่องมาจากตอนจบของภาค 3 ที่ แอนดี้ (เจ้าของเก่าของบรรดาของเล่น) ได้ส่งมอบพวกเขาให้กับ บอนนี่ ซึ่งก็ตามมาด้วยการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองของวู้ดดี้ ที่ทำให้ได้พบพานกับเพื่อนเก่าของเขา นอกจากนี้ก็ยังได้ฝากอีกหนึ่งตัวละครที่เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตัวใหม่อย่าง ฟอร์คกี้ เจ้าของเล่นสุดรักของ บอนนี่ ที่ทำมาจากเศษขยะ

สำหรับรายได้นั้นก็สูงถึง 1,074 ล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ในลำดับที่ 30 ในทำเนียบภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลแซงหน้า ภาค 3 ที่อยู่ในลำดับ 31 ไปอย่างฉิวเฉียด

ขบวนพาเหรดหนังภาคต่อ

ในปีนี้เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยหนังภาคต่อที่น่าสนใจและมีแฟนๆ รอติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางเราก็ได้รวบรวมหนังภาคต่อที่เข้าคิวเรียงกันมาตั้งแต่ต้นปีดังนี้ ได้แก่ John Wick : Chapter 3 Parabellum, Godzilla 2 : The King of Monsters, Men in Black 4 : International, Annabelle 2 : Annabelle Come Home, Fast & Furious Hobbs & Shaw, It Chapter Two, X-Men : Dark Phoenix และอีกสองเซอร์ไพรส์ในช่วงสิ้นปีกับการกลับมาของ “Maleficent 2 : Mistress of Evil”

และ ภาพยนตร์สยองขวัญซีรี่ย์ชุด The Shining ชื่อภาษาไทยว่า “โรงแรมสยองขวัญ”ที่เข้าฉายเมื่อปี 1980 โดยในครั้งนี้กลับมาในชื่อ “Doctor Sleep” ซึ่งเป็นเรื่องราว 40 ปีถัดมาจาก The Shining โดยก็ได้รับคำชื่นชมจากแฟนๆ ไปอย่างถล่มทลาย (แนะนำว่าควรทำการบ้านเกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่อง The Shining ก่อน เพื่อความฟินที่มากขึ้น)

ไฮไลท์ภาพยนตร์อื่นๆ ที่น่าสนใจในปีนี้

ภาพยนตร์รวมเหล่าดาราตัวท็อปของโลกใน “One Upon A Time in Hollywood”

ภาพยนตร์แนวดราม่า ตลกร้าย โดย เควนติน ทาแรนติโน ที่ได้นักแสดงชื่อดังเจ้าของรางวัลออสก้าอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ ประกบคู่ด้วย แบรด พิตต์, มาร์โกต์ ร็อบบี้ อมิล เฮิร์ช, ทิโมธี โอลิแฟนท์ และอีกมากมาย ในผลงานครั้งนี้ เควนติน นั้นเลือกที่จะทำภาพยนตร์แนว Based on true story โดยจะเป็นเรื่องราวของ ริค ดาลตัน นักแสดงคาวบอยที่กำลังต่อสู้กับช่วงเปลี่ยนผ่านในวงการภาพยนตร์แบบเก่าไปสู่แบบ Hollywood โดยในเรื่องนั้นเต็มไปด้วยบทพูดจำนวนมาก ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจสำหรับคนที่ไม่ชอบฟังบทสนทนายาวๆ แต่ เควนติน นั้นก็ได้เก็บหมัดเด็ดไว้ในช่วงท้าย ที่เรียกได้ว่าวายป่วงและมันส์สุดๆ จนนั่งไม่ติดเก้าอี้

ภาพยนตร์แนวปรัชญาชีวิต ที่มาในรูปแบบของการผจญภัยใน “อวกาศ”

“Ad Astra” ผลงานการกำกับโดย เจมส์ เกรย์ ที่ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ สิ่งที่ทำให้ Ad Astra นั้นน่าสนใจและไม่ธรรมดาก็คือการทำให้การผจญภัยในอวกาศในเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้ การค้นหาที่อยู่ใหม่ หรือฉากแอคชั่น เร้าใจ ทั้งหมดนี้เราจะไม่พบในเรื่องนี้ แต่เราจะได้เจอกับเรื่องราวดราม่าชีวิต – ครอบครัว ที่เต็มไปด้วยคำพูดลึกซึ้งและแฝงนัยยะเอาไว้ในหลายๆ ฉาก ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ชอบอะไรแนวนี้เพราะถ้าคุณไม่อินคุณก็อาจจะหลับทันที (ฮา) โดยภาพรวมแล้วตัวเนื้อหาของภาพยนตร์นั้นโรแมนติกทางความคิดมาก เพราะมันได้ทิ้งประเด็นถึงความหมายในการมีชีวิตอยู่เอาไว้ ย้ำให้เรารักเพื่อนมนุษย์ รักในสิ่งที่เป็นและความจริงที่อยู่ ดังนั้นแล้วสำหรับแฟนหนังสายปรัชญา หรือใครที่ต้องการหาอะไรที่เกี่ยวกับ การมีชีวิตอยู่มาเติมเต็มให้กับความรู้สึกของคุณแล้วละก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง

Don’t Stop the (movie) Music

สำหรับภาพยนตร์เพลงในปีนี้แน่นอนว่าต้องเป็น “Rocketman” ภาพยนตร์ชีวประวัติของ เอลตัน จอห์น นักร้องชื่อดังระดับตำนานแห่งเกาะอังกฤษ รับบทโดย ทารอน เอเจอร์ตัน พระเอกจากภาพยนตร์เรื่อง Kingman

Rocketman ได้พาเราไปเรียนรู้และพบกับชีวิตที่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินมากมาย  แต่ชีวิตเบื้องหลังเวทีของเขาช่างแสนหดหู่ เต็มไปด้วยความเศร้า การหลอกลวง ความบ้าคลั่ง ทำให้พรสวรรค์ของเขาเปรียบเสมือนคำสาป โดยเราจะได้พบกับชีวิตที่สูงสุด ต่ำสุดจนพยายามฆ่าตัวตาย เพราะคำพูดเชือดเฉือนใจจากผู้เป็นแม่ การโดนแฟนหนุ่มหลอกใช้ จนสุดท้ายแล้วหลังจากที่ชีวิตเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงมาสักพัก เอลตัน ก็ได้พบกับชีวิตที่คงที่ สงบสุข และพบเจอกับรักแท้เสียที ด้านโปรดักชั่นก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมทั้งคอสตูม และฉากสวยๆ โดยเฉพาะงานเพลงที่บอกเลยว่าสุดมากๆ

สุดยอดภาพยนตร์ฝั่งเอเชียแห่งปี “เมื่อบางชีวิตก็เป็นดังปรสิต” 

Credit : The New Yorker

“Parasite : ชนชั้นปรสิต” ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีใต้ ผลงานโดย บง จุนโฮ (ผู้เคยฝากผลงานที่มีชื่อเสียงมาแล้ว เช่น Okja) Parasite นั้นมีเนื้อหาที่พูดถึงความเหลื่อมล้ำทางฐานะและชนชั้น ระหว่างคนรวยและคนจนในประเทศเกาหลีใต้ ที่ถ่ายทอดออกมาได้ทั้งสนุกและเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน โดยได้รับความนิยมไปทั่วโลก และสำหรับในประเทศไทย Parasite นั้นเข้าฉายอย่างเงียบๆ ไม่มีกระแสหวือหวาใดๆ แต่ด้วยคุณภาพและพลังของเนื้อเรื่องก็ได้ช่วยชุบชีวิตของหนังเรื่องนี้ให้กลายมาเป็นกระแสในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก จนคนแห่กันไปดูมากขึ้นและสร้างรายได้เกินความคาดหมาย (ด้วยรอบฉายและโรงที่แสนน้อยนิด)

โดยเรื่องนี้ก็ได้ปลุกประเด็นความรวยความจนให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งในมุมมองของครอบครัวคิมทั้ง 4 ถือเป็นตัวแทนของคนจนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องดิ้นรนแค่เอาตัวรอดไปวันๆ ใช้ชีวิตอยู่กับสิ้นหวัง จนนำมาซึ่งการใช้เล่ห์กลหวังกอบโกยจากคนรวย ซึ่งมันก็ตามมาด้วยอีกคำถามที่สำคัญว่า การเป็นคนร่ำรวยนั้นผิดอย่างไร? ทำไมพวกเขาถึงต้องตกเป็นผู้ร้ายในสายตาของคนจนด้วย ถึงแม้เนื้อเรื่องจะตั้งอยู่บนความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น แต่ก็ยังมีความขัดกันของคนในชนชั้นเดียวกันและประเด็นอีกมากมายที่ บง จุนโฮ ได้ทิ้งเอาไว้ ซึ่งมันก็ทำให้ Parasite กลายเป็นภาพยนตร์คุณภาพ โดยสามารถคว้ารางวัลปาล์มทองคำ (Palme d’Or) รางวัลใหญ่ที่สุดของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และเป็นตัวแทนจากประเทศเกาหลีใต้ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 92 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม


ข้อมูลอ้างอิง

https://comicbook.com/movies/2019/12/08/disney-10-billion-dollars-2019-captain-marvel-avengers-endgame/
https://jediyuth.com/2019/11/12/joker-sets-new-box-office-record/
https://www.sanook.com/movie/90169/
https://www.beartai.com/lifestyle/movies/357869
https://www.brighttv.co.th/entertain/doctor-sleep-the-shining
https://dara.catdumb.com/lion-king-voice-427/
https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด
https://www.prachachat.net/spinoff/entertainment/news-392875
https://th.wikipedia.org/wiki/Where_We_Belong_ที่ตรงนั้น_มีฉันหรือเปล่า
https://thestandard.co/inhuman-kiss-best-foreign-language-film-award/
https://movie.mthai.com/movie-news/255459.html
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2638990
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1777420
https://thethaiger.com/thai/entertainment-th/movies-th/มะเดี่ยว-ผกก-พูดถึงที่มา
https://www.komchadluek.net/news/ent/392035
https://thestandard.co/where-we-belong-the-asian-stars-up-next/