fbpx

เกิดอะไรขึ้น ?

  • นักข่าวสายทหารชื่อดังได้เขียนบทความในเฟซบุค ในเรื่องที่หนึ่งในผู้นำฝ่ายค้าน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจได้เข้าร่วมงานปีใหม่ม้ง
  • นักข่าวคนนี้ใช้วาทกรรม ตรรกะและเหตุผลที่สนับสนุนความคิดที่ว่าคนไทยต้องมาก่อนคนชาติพันธุ์ โดยที่เสนอว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไม่สำคัญเท่าคนไทย
  • มีการต่อว่านักข่าวคนนี้ในโซเชียลมีเดียเป็นอย่างวงกว้าง และมีการตั้งคำถามถึงความจำเป็นของเหล่านักข่าวสายทหารด้วยเช่นกัน

ต้องยอมรับว่าในเวลาที่ผ่านมา ทุกคนคงพลาดไม่ได้กับบทความของนักข่าวสายทหารบางคนที่ออกมาเขียนถึงหนึ่งในผู้นำฝ่ายค้าน ที่เลือกใช้ตรรกะและเหตุผลที่นำไปสู่ความเกลียดชังของกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาตั้งแต่ก่อน แน่นอนว่าไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหน ก็ย่อมมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างไรหรือ ? บทความของนักข่าวสายทหารผู้นี้ ทำให้มีการตั้งคำถามที่น่าสนใจขึ้นว่า “เรายังจำเป็นต้องมีนักข่าวสายทหารอยู่อีกหรือไม่ ?”

ในการมีอยู่ของนักข่าวสายทหารนี้ มีความจำเป็นหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่านักข่าวสายทหารนั้นมีหน้าที่ทำข่าวเกี่ยวกับอะไร ถ้าอย่างในสหรัฐอเมริกา การทำข่าวในลักษณะนี้ จะไม่ใช้นักข่าวที่มีเส้นโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าจะใช้นักข่าวปกติในการทำข่าวที่เกี่ยวกับทหาร และแน่นอนว่านักข่าวเหล่านี้ควรที่จะมีจรรยาบรรณเหมือนกับนักข่าวโดยทั่วไป และแน่นอนว่านักข่าวสายทหารในอเมริกาล้วนจรรยาบรรณกันทั้งสิ้น และเมื่อมีเหตุการณ์ที่มีคนไหนก็ตามเขียนบทความในลักษณะนี้แล้ว ย่อมต้องได้รับการลงโทษเช่นกัน

หน้าที่ของนักข่าวสายทหารนั้น ถ้าคนไหนยังไม่มั่นใจ มีหน้าที่ในการเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับทหารทุกเหล่า ไม่ว่าจะเป็นข่าวแสดงความกล้าหาญของนายทหารนั้น ๆ หรือแม้แต่ข่าวฉาวในตัวกองทัพเอง นักข่าวสายทหารย่อมมีหน้าที่แสดงและนำเสนอความจริง ไม่ใช่ช่วยทหารปกปิด ไม่ใช่การสร้างข่าวให้ทหารดูดี แต่มันคือการช่วยแสดงความจริงให้สาธารณชนได้นำไปตัดสินใจต่อ เพราะฉะนั้นการที่มีอยู่ของนักข่าวสายทหารนั้น ถึงแม้ว่าจะสำคัญในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่อย่าลืมว่านักข่าวไม่ว่าจะสายไหนก็สามารถทำเรื่องเกี่ยวกับทหารได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายถึงใครเลย

และแน่นอนว่ากับประเทศไทยเองเป็นเรื่องที่น่าตลกเป็นอย่างมาก ก็คือ เรามีนักข่าวสายทหารอยู่เพียงคนเดียว และนักข่าวคนนี้ กลับไร้ซึ่งจรรยาบรรณในการเป็นนักข่าว รวมถึงไร้ค่านิยมทางมนุษยธรรมไปโดยสิ้นเชิง ทางเดียวที่จะสามารถแสดงถึงความรับผิดชอบกับสำนักข่าวต้นสังกัดได้คือปลดนักข่าวคนนี้ออกไป แต่อย่างที่เรารู้กันอยู่ นักข่าวคนนี้ไร้ยางอายเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ออกบทความตัวที่สองพร้อมกับลบบทความเก่าออก เพื่อให้โดนแรงกดดันจากสังคมน้อยลง ซึ่งบทความนั้นก็ยังน่าขยะแขยงพอกันกับบทความเก่าของตนเองอยู่ดี

สัตว์ร้ายอยู่ในรายละเอียด (Devil’s in the Details)

ถ้ายังสงสัยว่าบุคคลนี้เขียนอะไรที่ทำให้เป็นประเด็น เรามาดูกันดีกว่าว่าสิ่งที่เขาได้เขียนลงไปนั้นมีอะไรบ้าง…

ชาติพันธ์ุร่วมสร้างชาติ : มอญ จีน ฝรั่ง อีกหลายชาติ เรายินดีรับเข้ามาเป็นคนไทย เพียงแต่ว่าเราต้องปรับพฤติกรรมความเป็นชนชาติ ของบรรดาชนชาติ/ของชาติพันธ์ุเหล่านี้ให้มีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมวิถีชีวิต/ศาสนา/ศิลปะเป็นไทย ซึ่งมอญ จีนยุคโบราณก็ทำได้สำเร็จ

บทความจากนักเขียนคนนั้น..

มีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องให้ชนเผ่าอื่นๆ หรือแม้แต่ชนชาติอื่น ๆ มาปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมไทย ? เนื่องจากว่าความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป เราอยู่บนพื้นฐานของพหุวัฒนธรรมนิยม (multiculturalism) ที่ตอนนี้สังคมไทยให้การยอมรับแล้วในศตรวรรษนี้ การที่บอกว่าต้องปรับพฤติกรรมนี้ยังจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ?

ชาติพันธ์ุ ผู้เข้ามาหวังอาศัยใช้ชีวิต/บริโภคอุปโภคทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ของไทย แต่เพียงอย่างเดียวโดยมิเคยร่วมสร้างชาติ/มิเคยร่วมสร้างคุณประโยชน์ใดๆให้กับประเทศไทย…เป็นเรื่องที่คนไทยเจ้าของแผ่นดินต้องคิดพิจารณา

บทความจากนักเขียนคนนั้น.. (ต่อ)

ไหนคือหลักฐานว่าพวกเขา “มิเคยร่วมสร้างชาติ” หรือแม้แต่ “ร่วมสร้างคุณประโยชน์ใด ๆ” ให้กับประเทศไทย เช่นเดียวกัน นี่คือการแสดงให้เห็นว่าคนอย่างนักข่าวแบบนี้ได้ปิดความคิดเห็นของตัวเองขนาดไหน ถึงขนาดที่ไปไกลถึงกล่าวหาว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยเข้ามาสร้างคุณประโยชน์ จะมีหากแต่ว่าพวกเรา (รัฐไทยกลาง) สร้างโทษให้กับกลุ่มบุคคลชายขอบ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายล้างการศึกษาแบบจีนของจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือจะเป็นแม้แต่การริดรอนสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พวกเรากำลังทำร้ายกลุ่มคนพวกนี้ แต่ก็เลือกที่จะบอกว่าไม่มีใครร่วมสร้างคุณประโยชน์กับประเทศไทย ?

เราคนไทย ไม่ได้เหยียดคนชาติพันธ์ุ

ทว่าคนไทยเราอย่านำเอาที่ดิน/ป่าเขาของคนไทยทุกคน..ไปให้กับคนชาติพันธ์ุอีกจำนวนหลายพันล้านคนทั่วโลกให้ได้รับสิทธิ์ครอบครองที่ดินบนผืนแผ่นดินไทยเลย

เราสมควรจะต้องดูแลคนไทย(ผู้ยากจน)เราก่อนจะดีกว่าไหม???

มีชนชาติอื่นใดบ้าง : จีน สหรัฐ ยุโรป..ที่ยอมยกป่าเขาฟรี/ยอมมอบที่ดินฟรีเป็นสิทธิ์ครอบครองให้กับชาวต่างชาติผู้เข้าไปหากินในประเทศของเขา

ยกป่าเขาฟรี/มอบที่ดินฟรีให้กับม้งแล้วกลุ่มอื่นๆ ก็รออยู่

คนชาติพันธ์ุอีกหลายพันล้านคนกำลังรอคอย!!!!

มิฉะนั้นมันจะไม่เกิดความเป็นธรรม!!!

มิฉะนั้น มันจะเกิดความเหลื่อมล้ำหลายมาตรฐาน!!!

นักข่าวคนนี้ลืมไปว่า ณ ตอนนี้ สิทธิของกลุ่มคนเชื้อชาติพันธ์ุยังไมได้รับความเป็นธรรมแม้แต่น้อย เขายังถูกไล่ออกจากที่ดินที่เขาอาศัยอยู่เรื่อย ๆ แล้วนี่หรือคือการที่บอกว่าไม่ได้เหยียด ? แค่บอกว่าเอาคนไทย (กลุ่มคนที่เป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่แล้ว) มาก่อนคนอื่น นี่หรือที่เขาเรียกว่าไม่เหยียด การจบท้ายของบทความนี้แสดงให้เห็นเลยว่าบุคคลนี้นิยมเชื้อชาติตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่สุด โดยที่ไม่ต่างกับ Dr. Joseph Goebbles ในยุคนาซีเยอรมนีเลยแม้แต่น้อย

แล้วยังไงกัน ?

มีหลายครั้งที่สื่อจากฝั่งรัฐบาล เรียกร้องให้สื่อกันเองมีจรรยาบรรณในการทำงาน ในการทำสื่อในรูปแบบต่าง ๆ แน่นอนว่าทุกคนเห็นด้วย แต่เมื่อมีหนึ่งในสมาชิกของสื่อสาธารณะเลือกที่จะเผยแพร่ข้อความที่เต็มไปด้วยการเหยียด และความเกลียดชังเช่นนี้ ยังมีอะไรอีกที่จะสื่อถึงความสองมาตรฐานของสื่อสายทหาร/รัฐบาลเช่นนี้ สังคมไทยยังยอมกับการกระทำเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่ ที่แน่ ๆ พวกเราในฐานะสังคมไทย ต้องเริ่มมองถึงความอ่อนไหวของกลุ่มชายขอบ โดยเฉพาะกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่โดนรัฐไทยรังแกมาตลอดระยะเวลาที่มีกลุ่มชาติพันธ์ุ

แน่นอนว่าถึงแม้ว่าเรื่องเช่นนี้ยังมองเป็นเรื่องไกลตัวไปก็ตาม แต่ในช่วงเวลาที่เรากำลังจะก้าวเข้าทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว เรายังคงต้องกลับมามองบทความนี้ และถามตนเองว่าเรายังอยู่ในยุคมืดอยู่หรือไม่ และนั่นก็กลับมาสู่นักข่าวผู้ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำอันน่าเกลียดเช่นนี้ กระทำเช่นนี้ไม่ควรจะมีอยู่อีกต่อไป ไม่ใช่กับบุคคลที่ใช้คำว่าสื่อบังหน้า คนที่จะมีปัญหาจะไม่ใช่เพียงแค่นักข่าวคนนั้น แต่จะเป็นทหารที่คอยใช้บุคคลนั้นในการนำเสนอข่าวของกองทัพด้วยเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นสื่อด้วยกัน การประนามนักข่าวคนนี้จึงเป็นหน้าที่และบรรทัดฐานของทุกคนที่ทำหน้าที่ตรงนี้ และร่วมกันแสดงให้เห็นว่าการนำเสนอความคิดอย่างนักข่าวคนนี้จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทั้งสื่อสาธารณะและสังคมไทยไม่ยอมรับ การกระทำแบบนี้ควรจะเป็นจุดเปลื่ยนของวงการข่าวฝั่งกองทัพ ว่าเราจะได้เห็นบรรทัดฐานความเป็นมนุษย์ และจรรยาบรรณของความเป็นสื่อ ในกองทัพไทยบ้าง และเป็นจุดเปลื่ยนของสังคมไทย ว่าเราจะยังคงสนับสนุนให้คน ๆ นี้เสนอข้อมูลกับเราอย่างเป็นจริงเป็นจังหรือไม่​ ?