fbpx

Little Women ภาพยนตร์ดัดแปลงชื่อดังจากนวนิยายของ Louisa May Alcott ที่มีอายุกว่า 150 ปีซึ่งก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์ในปี 2019 นี้แล้วนั้น Little Women ได้ถูกนำมาทำเป็นทั้งภาพยนตร์ ละครเวที ซีรีย์ โอเปร่า และแอนิเมชั่นมาแล้ว เรียกได้ว่าครบทุกสื่อบันเทิงเลยก็ว่าได้ นั่นเป็นเพราะเนื้อหาที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวง่ายต่อการเข้าถึง บทบรรยายที่สวยงาม สร้างความซาบซึ้งและอบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะกับเทศกาลแห่งครอบครัวอย่างคริสต์มาส ซึ่งจากอดีตที่ผ่านมาLittle Women ก็ประสบความสำเร็จมากมายผ่านการชนะในเวทีรางวัลใหญ่แห่งวงการบันเทิงของโลก ทั้ง Emmy Award (งานรางวัลฝั่งสื่อโทรทัศน์), Oscar Award (งานรางวัลฝั่งสื่อภาพยนตร์) และ Tony Award (งานรางวัลฝั่งละครเวที) ทำให้ Little Women ปี 2019 ของผู้กำกับ เกรต้า เกอร์วิค Greta Gerwig (ผู้กำกับสาวที่เคยฝากผลงานชื่อดังอย่าง Lady Bird มาแล้ว) ถือเป็นการกลับมาที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับ Little Women โดย เกรต้า เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แนวครอบครัว / Coming of Age คุณภาพที่ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2019 ต้อนรับวันคริสต์มาส แต่สำหรับประเทศไทยนั้นจะได้รับชมช้ากว่าเนื่องจากมีกำหนดฉายในวันที่ 9 มกราคม ปี 2020 ซึ่งจากคะแนนและคำวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเป็นไปในทิศทางบวกอย่างมาก ด้วยคะแนนที่ล้นหลาม (92% จาก Rotten Tomato, 91 คะแนนจาก Metacritic, 8.3 คะแนนจาก Imdb) และบทความรีวิวจากนักวิจารณ์ที่ต่างออกมาชื่นชม ในด้านของรางวัลนั้นน่าเสียดายที่ในงานลูกโลกทองคำปี 2020 ที่ผ่านมา แม้ Little Women จะเป็นผู้เข้าชิงรางวัลทั้งในสาขาสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ก็คว้าน้ำเหลวไปทั้งสองรายการ อย่างไรก็ตามในงาน Oscar Award ก็ยังคงมีหวังอยู่และผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Little Women โดยเกรต้า จะสามารถคว้ารางวัลใหญ่ไปได้ดังเช่นที่ในเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ทำได้

สิ่งที่เกิดขึ้นใน Little Women ฉบับของ Greta Gerwig

Credit photo : https://www.filmcomment.com/article/lifes-work/

ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงทำให้เนื้อหาของเรื่องนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจากในเวอร์ชั่นก่อนๆ ได้มากนัก ดังนั้นสิ่งที่เป็นโจทย์สำคัญก็คือการดำเนินเรื่องให้น่าสนใจ และนักแสดง ที่จะสามารถมาสร้างความสดใหม่ให้กับเวอร์ชั่นของเธอ โดยนักแสดงที่เข้ามารับบทให้กับเธอนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยนักแสดงคุณภาพ สดใหม่ และมีเสน่ห์ อันได้แก่ เซอร์ชา โรนัน Saoirse Ronan นักแสดงสาวผู้มีผลงานมากมายอีกทั้งยังเคยรวมงานกับเกรต้าในภาพยนตร์เรื่อง Lady Bird มาแล้ว มารับบทเป็นJo March ตัวละครหลักของเรื่องนี้, เอ็มม่า วัตสัน Emma Watson สำหรับคนนี้คงไม่ต้องกล่าวอะไรมากเพราะคงไม่มีใครไม่รู้จักนักแสดงมากฝีมือคนนี้อย่างแน่นอน, เอลิซา สแกนเลน Eliza Scanlen, ฟลอเรนซ์ พิว Florence Pugh และ ลอร่า เดิร์น Laura Dern นักแสดงคุณภาพมากผลงานที่พึ่งคว้ารางวัลสมทบหญิงยอดเยี่ยมในงานลูกโลกทองคำปี 2020 (Golden Globes 2020) ทางฝั่งนักแสดงชายก็ไม่น้อยหน้าเพราะได้ ทิโมธี ชาลาเมต์ Timothée Chalamet หนุ่มหล่อชื่อดังที่เป็นที่รู้จักจากบทบาทของ เอลิโอ ใน Call me by your name

สำหรับเนื้อเรื่องนั้นเป็นเรื่องราวดัดแปลงมาจากชีวิตของตัว Louisa เอง โดยเป็นเรื่องของครอบครัว March ในช่วงกลางของยุคปี 1800 ท่ามกลางสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกาทำให้ผู้เป็นพ่อนั้นต้องเข้าร่วมสงคราม คุณนายมาร์ช (รับบทโดย ลอร่า เดิร์น) เลยต้องอยู่กับลูกสาวทั้งสี่ โดยทั้งสี่พี่น้องก็ประกอบไปด้วย เม็ก Meg (รับบทโดย เอ็มม่า วัตสัน) พี่คนโตของบ้านที่มีบุคลิกเรียบร้อย มีความเป็นกุลสตรี ใฝ่ฝันอยากจะมีครอบครัวและเป็นภรรยาที่ดี , โจ Jo (รับบทโดย โรนัน) พี่คนรองที่ฝันอยากเป็นนักเขียน มีความมุ่งมั่น ห้าวหาญ , เบธ Beth (รับบทโดย เอลิซา) น้องคนรองผู้รักในดนตรี นักเปียโนประจำบ้าน , และ เอมี่ Amy (รับบทโดย พิว) น้องคนเล็กแสนเอาแต่ใจที่ชื่นชอบการวาดภาพ โดยเนื้อหาหลักของเรื่องนั้นก็คือการเติบโตของพี่น้องทั้งสี่ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง การตามหาความฝัน ความรัก และความขัดแย้ง ที่แม้ว่าแต่ละคนจะมีบุคลิกและความปรารถนาในชีวิตแตกต่างกัน ผ่านเรื่องราวจุดเปลี่ยนในชีวิตและเติบโตไปในคนละเส้นทาง แต่อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วความเป็นพี่น้องก็ได้ยึดโยงพวกเธอเอาไว้ และกลายมาเป็นเรื่องราวครอบครัวที่อบอุ่น แสนกินใจ อีกทั้งยังสะท้อนค่านิยมชายเป็นใหญ่ในสมัยนั้นอีกด้วย ซึ่งก็ได้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างพอดีไม่รุนแรงจนเกินไป

Credit photo : https://www.sonypictures.com/movies/littlewomen

เกรต้า ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการนำมาทำเป็นภาพยนตร์ครั้งที่ 8 แล้ว แต่สามารถที่นำเสนอได้น่าสนใจ ปรับเปลี่ยนให้สนุกสนานและเข้ากับสมัยปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม (โดยยังคงความสื่อสัตย์ต่อต้นฉบับเอาไว้ได้อยู่) ซึ่งแม้ว่าการดำเนินเรื่องนั้นจะใช้ โจ เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักแต่ก็ยังให้ความสำคัญและซีนกับตัวละครอื่นแทบจะเท่าๆ กันอีกด้วย เกรต้าเลือกที่จะเล่าเรื่องออกมาเป็นสองทามไลน์ คือเส้นอดีต (ก่อนที่ทั้งสี่พี่น้องจะแยกย้ายกันไป) และเส้นเรื่องปัจจุบัน โดยจะเป็นการเล่าเรื่องสลับตัดไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยพาร์ทปัจจุบันนั้นมันทำหน้าที่สร้างความสงสัยในแต่ละตัวละครให้กับเรากระตุ้นให้เราอยากรู้ และตัดกลับเข้าพาร์ทอดีตที่ให้เราค่อยๆ เรียนรู้ทำความเข้าใจตัวละครไปทีละนิด สำหรับผู้เขียนมองว่าการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้ Little Women ของเกรต้านั้นน่าสนใจและมีมิติ และด้วยงานภาพที่สวยงาม ประกอบกับคอสตูมและดนตรีประกอบที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมก็ช่วยส่งให้เรารับชมได้อย่างเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น

ทางด้านบทละคร เกรต้าเขียนออกมาได้อย่างลื่นไหลและคมคาย โดยเฉพาะบทพูดของตัวละครนั้นแฝงไปด้วยการสะท้อนค่านิยมที่ผู้หญิงในสมัยนั้นถูกกดทับโดยชาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามตัวละครหลักทั้งสี่ต่างก็ยังหนักแน่นในความเชื่อและความต้องการของตัวเอง ทำให้พวกเธอนั้นมีความขบถต่อคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่พยายามสอนเธอให้ยอมแพ้ต่อความพยายามที่จะยืดหยัดด้วยตัวเองและให้ผู้ชายเป็นตัวเลือกที่จะพาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงได้แฝงนัยยะของความเป็น Feminist เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน ที่น่าสนใจก็คือในช่วงท้ายของเรื่องหลังจากที่ทั้งสี่พี่น้องนั้นได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ บทสนทนาที่ไร้เดียงสาก็ได้หายไปกลายมาเป็นความลึกซึ้งมากขึ้น เหมือนกับชีวิตจริงที่พวกเราต่างก็เปลี่ยนไปเพราะการเติบโต ความสนุกสนาน สดใส ตรงไปตรงมาในวัยเด็กมักจะหายไปและแปรเปลี่ยนมาเป็นคำพูดที่เข้าใจยากๆ

อาจมีการสปอยด์เนื้อหาบางส่วน

อีกประเด็นนึงสำหรับงานด้านเทคนิคที่น่าประทับใจนั่นก็คือ สีของภาพ ซึ่งเกรต้าก็ได้ให้ความสำคัญและหยิบมาช่วยในการเล่าเรื่อง “สีของภาพ” นั้นพาให้เราเข้าถึง mood & tone ของเรื่องและเข้าใจอารมณ์ของโจได้มากขึ้นอีกด้วย โดยในพาร์ทอดีตนั้นเต็มไปด้วยสีสันสดใส โทนอบอุ่น ทำให้เราตีความได้ว่า เกรต้ากำลังจะบอกว่าวัยเด็กของโจนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่น ความสนุกสนานที่ได้รับจากครอบครัวและเพื่อนสนิท (ลอรี เด็กหนุ่มข้างบ้านผู้ซึ่งเป็นอีกตัวละครที่สำคัญของเรื่อง) แม้จะมีเหตุการทะเลาะกัน ผิดใจกัน เกิดเรื่องราวที่สร้างความทุกข์และความเศร้า แต่วัยเด็กของโจนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยสีสันโทนอบอุ่น แต่หลังจากงานแต่งของเม็กที่ได้นำมาสู่การแยกย้ายของทั้งสี่พี่น้อง ซึ่งก็ได้เข้าสู่พาร์ทปัจจุบัน โทนสีของเรื่องได้กลายเป็นโทนเย็น สีสันได้จางหายไป ตามความรู้สึกของโจที่อยู่ในห้วงแห่งความสับสน เศร้าหมองจากการที่เม็กแต่งงาน โจก็ได้คิดว่าเขาได้สูญเสียพี่สาวของเขาไป อีกทั้งยังสูญเสียเพื่อนสนิทอย่างลอรีที่ดันมาสารภาพรักกับเธอซึ่งไม่ต้องการจะมีความรักในขณะนั้น อีกทั้งการล้มป่วยของเบธ และการออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวในนิวยอร์ค ช่วงเวลาเหล่านี้โจก็ได้เผชิญกับความทุกข์ ความสับสนและหว่าเว้ที่สุดในชีวิต

Credit photo : https://www.sonypictures.com/movies/littlewomen

สรุปแล้วภาพยนตร์ Little Women ฉบับปี 2019 นั้นถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์แนวดราม่า – ครอบครัว ที่ Feel Good (มากๆ) แต่ก็ยังเก็บครบทุกอารมณ์ ไม่ดราม่าหนักไป และก็ไม่ได้สดใส โลกสวยจนเกินไป เป็นความพอดีในแบบที่เราสัมผัสได้ในชีวิตจริง เป็นเรื่องราวของการเติบโต การต่อสู้ยืนหยัดเพื่อตนเองและครอบครัวที่ชวนให้เราระลึกถึงวัยเด็ก พร้อมทั้งกล้ำกลืนต่อโลกของการเป็นผู้ใหญ่ สุดท้ายแล้วหนังก็จบลงพร้อมกับการย้ำให้เห็นถึงความรักและความอบอุ่นจาก “ครอบครัว” อย่างที่โจได้พูดเอาไว้ว่า

“I do think that families are the most beautiful things in all the world!”

Credit :
https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-50713841
https://en.wikipedia.org/wiki/Little_Women_(2019_film)