fbpx

วันนี้ (21 มกราคม 2563) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแก้จำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เหลือเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน ในคดีสนับสนุนให้พนักงานในองค์กรของรัฐกระทำความผิดเมื่อไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท ทราบ ทำให้อสมท ได้รับเงินค่าโฆษณาล่าช้าจำนวน 138 ล้านบาท ส่วนนางพิชชาภา จำคุก 12 ปีเหมือนเดิม และไม่ให้มีการรอลงอาญาแต่อย่างใด จึงทำให้คุณสรยุทธต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนั่นเอง

หลังจากที่ได้ฟังการอ่านคำพิพากษาแล้ว ทีมงานรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” นำโดยไบรท์ – พิชญทัฬน์ จันทร์พุฒ , ไก่ – ภาษิต อภิญญาวาท , โก๊ะตี๋ – เจริญพร อ่อนละม้าย และ นิปปอน – นวนันท์ บำรุงพฤกษ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ 

ฟังคำพิพากษาแล้ววันนี้รู้สึกยังไงบ้าง?

ไบรท์ : จริงๆ ก็ให้กำลังใจคุณสรยุทธมาโดยตลอดระยะเวลาการต่อสู้ ไม่ใช่ไบรท์คนเดียว แต่เป็นทุกคน ทีมงานเบื้องหน้า เบื้องหลัง เราก็คอยให้กำลังใจพี่ยุทธมาโดยตลอด คือถ้าถามความรู้สึกวันนี้คือเราทุกคนรู้สึกเสียใจ และตัวพี่ยุทธเองก็คงจะเสียใจมากเช่นกัน เห็นใจพี่ยุทธมากในแง่ที่ พี่ยุทธพยายามที่จะต่อสู้เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพี่ยุทธไมีเคยมีพฤติกรรมที่จะไปเบียดเบียนเวลาของ อสมท อย่างที่เข้าใจ คือสิ่งที่พี่ยุทธพยายามที่จะต่อสู้ก็คือ ในข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายก็คือต่างก็มีโฆษณาเกิน ไร่ส้มเกินแต่ในเวลาเดียวกัน อสมท ก็เกิน มันเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างเกินบนหลักการของ Time Sharing ตามข้อตกลงเรื่องของการแบ่งการโฆษณาคนละ 50:50 เมื่อ อสมท โฆษณาเกินก็เป็นที่เข้าใจได้ว่ามันก็จะต้องเป็นไปตามสัดส่วนที่โฆษณาไปคนละ 50:50 พี่ยุทธเองก็พยายามที่จะต่อสู้ตรงนี้ 

สิ่งที่พี่ยุทธแกจะเจ็บปวดมาโดยตลอดก็คือ การถูกกล่าวหาว่าไปเบียดบังเวลาของ อสมท พี่ยุทธต่อสู้ว่าในเวลาโฆษณามันมีอยู่ 10 นาที ไร่ส้มมี 5 นาที อสมท มี 5 นาที มันไม่ใช่ลักษณะที่ว่า อสมท ขายโฆษณาได้ 2 นาทีแล้วไร่ส้มไปเอาอีก 3 นาทีของ อสมท มาใช้ แต่มันเป็นในลักษณะของ อสมท ขายโฆษณาเกิน 5 นาทีมาโดยตลอด พี่ยุทธก็พยายามต่อสู้มาโดยตลอดว่าโฆษณาที่ไร่ส้มเกินมามีมูลค่าตัวเลขก็คือ 138 ล้านบาท ขณะที่ของ อสมท ถ้าจำไม่ผิดมันอยู่ที่ 237 ล้านบาท 

อีกประเด็นหนึ่งที่จะรู้สึกสงสารพี่ยุทธมากก็คือ แกก็พยายามต่อสู้และจะบอกว่าในส่วนที่โฆษณาเกิน เขาก็ไม่ได้ปกปิด ถ้าพี่ๆ น้องๆ หรือเอเจนซีก็จะทราบดีอยู่แล้วว่าการโฆษณาออกไปแต่ละวันมันเป็นเรื่องที่ปกปิดไม่ได้ ถ้าเกิดมันเกิน วันสองวันก็ทราบอยู่แล้ว ไม่ต้องตรวจสอบมันก็เห็น กรณีโฆษณาเกินของไร่ส้มที่เห็นเนี่ย มันมีการส่งคิวโฆษณาที่เกินอย่างเปิดเผย แล้วก็มีการเกินอย่างต่อเนื่องมากกว่า 500 กว่าวัน ดังนั้นพี่ยุทธก็พยายามต่อสู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิด ที่ อสมท จะไม่ทราบ หรือเจ้าหน้าที่ธุรการคนเดียวจะสามารถปกปิดได้ และตามกระบวนการขั้นตอนการส่งคิวโฆษณา มันก็จะมีระบบการตรวจสอบในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นเรื่องที่ปกปิดไม่ได้ พี่ยุทธก็พยายามต่อสู้ในเรื่องนี้

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่อยู่ในข่าวก็คือ เรื่องของเช็ค 6 ฉบับ พี่ยุทธก็พยายามชี้แจงว่าเช็คแต่ละฉบับมันมีที่มาที่ไปอย่างไร จ่ายเป็นค่าอะไร? มันเป็นการจ่ายตามที่พี่ยุทธชี้แจงก็คือจำนวนเงินมันไม่ได้สัมพันธ์กับโฆษณาที่เกิน แล้วมันก็เป็นการจ่ายแบบหักภาษี ณ ที่จ่าย คือจ่ายแบบมีเศษสตางค์ พี่ยุทธก็พยายามที่จะต่อสู้ตรงนี้ว่าถ้าเกิดจะทำทุจริตจริงๆ เราจะทำแบบนี้ทำไม? พี่ยุทธก็พยายามชี้แจงว่าการสั่งจ่ายเช็คนี้มันเป็นค่าช่วยประสานงานด้านการตลาด ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการปกปิดเลย 

จริงๆ ช่วงหลังสุดไบรท์แอบดีใจที่กรรมาธิการของ สนช. มีมติออกมาว่ากรณีของไร่ส้มที่เกิดขึ้นเป็นในแนวทางลักษณะของ Time Sharing ไร่ส้มก็เกิน อสมท ก็เกิน แล้วก็ไม่ได้มีการปกปิด ตอนนั้นไบรท์รู้สึกดีใจที่เรื่องที่พี่ยุทธอธิบายอย่างน้อยก็มีกรรมาธิการของ สนช. เข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้พี่ยุทธก็นำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาล แต่ก็แล้วแต่ศาลท่านพิจารณา มันก็เป็นสองสามประเด็นนี้ที่พี่ยุทธต่อสู้มาโดยตลอด

พวกเราทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีความหวัง คือถ้าถามรายละเอียดของารเป็นเพื่อนร่วมงานกับพี่ยุทธ เป็นคนใกล้ชิด ไบรท์ก็รู้สึกเห็นใจ เสียใจ แล้วก็รู้สึกเสียดาย คือพี่ยุทธเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพของตนเองแล้วก็ต่อคนดู ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พี่ยุทธสอนพวกเรามาโดยตลอดว่าเราต้องเคารพคนดู เราต้องรับผิดชอบต่อคนดู พี่ยุทธรักงานข่าว รักอาชีพนี้มาก ดังนั้นถ้าหากว่าพวกเราจะเห็นน้ำตาของพี่ยุทธเนี่ย มันก็จะเป็นทุกครั้งที่พี่ยุทธพูดว่า พี่ต้องหยุดการทำงานไป เพราะว่าการทำงานมันก็คือชีวิตของพี่ยุทธ บางครั้งประโยคที่พวกเราได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ “น้องรู้ไหม? บางครั้งพี่ไม่อยากจะเปิดทีวีดูเลย เพราะพี่ไม่อยากเห็นรายการที่ตัวเองเคยทำ” แต่พี่ยุทธก็พูดกับไบรท์ไว้ว่า ในเมื่อเราต่อสู้เต็มที่แล้ว เมื่อศาลตัดสินแล้ว เราก็ต้องอยู่ในกฎ กติกา และที่พี่ยุทธยืนยันมาโดยตลอดก็คือพี่ยุทธไม่เคยคิดที่จะหนี เพราะฉะนั้นวันนี้พี่ยุทธก็แสดงให้เห็นว่าแกก็ทำอย่างที่เคยพูดเอาไว้ 

ภาพ : เดลินิวส์

พี่ยุทธได้ฝากอะไรกับพวกเราไว้บ้าง?

โก๊ะตี๋ : คือสิ่งที่พวกเราทุกคนอยู่ใกล้ชิดกับพี่ยุทธและได้คุยกับพี่ยุทธมาโดยตลอดก็คือ ทำไมพี่ยุทธทำงานทุกวันเลย ทุกคนก็รู้ว่าชีวิตของพี่ยุทธคือ ตื่นตีสองตีสามเดินทางมาอ่านข่าว หลายคนที่ดูอยู่ก็คิดว่ามันอยากจะได้ตังค์ไง มันอยากมีเงิน วันหนึ่งหนูนั่งกินข้าวกับพี่ยุทธ พี่ยุทธบอกว่า “วันที่กูไม่ได้ทำงานคือวันที่กูเสียใจมากที่สุด” เพราะเขาเป็นคนที่รักในงานข่าวมาก หนูเลยถึงบางอ้อว่าความสุขของพี่ก็คือ พี่ตื่นตีสองตีสามมานั่งอ่านข่าว แล้วเช้ามาก็มาเล่าให้ทุกคนได้ฟังว่าบ้านเมืองเป็นอะไร อย่างไรบ้าง?


ย้อนเรื่องราวของคดี

ไทยรัฐออนไลน์ ได้นำเสนอข่าวว่า พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางพิชชาภา อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท จำเลยที่ 1, บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 3 และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงาน บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 4 ในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6, 8, 11

กรณีเมื่อวันที่ 4 ก.พ.48-28 เม.ย.49 ต่อเนื่องกัน นางพิชชาภา ซึ่งเป็นพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท ได้จัดทำคิวโฆษณารวม ในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” โดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้มจำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท โดยมีบริษัทไร่ส้ม, นายสรยุทธ และน.ส.มณฑา ที่ให้การสนับสนุนในการกระทำความผิด โดยจำเลยทั้งหมด ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

ซึ่งคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุก นางพิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินฯ เป็นเวลา 20 ปี, ปรับ บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 จำนวน 80,000 บาท, ส่วนนายสรยุทธ และน.ส.มณฑา จำเลยที่ 3-4 ให้จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากนั้น บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา จำเลยที่ 2-4 ได้ยื่นฎีกาโดยมีผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นเซ็นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามขั้นตอนของกฎหมาย

เนื่องจากคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกนั้นไม่เกิน 5 ปี หรือคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับแล้วศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดดังกล่าว หากจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องมีผู้พิพากษาในสำนวน หรือที่ทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หรืออัยการสูงสุดเซ็นรับรองว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย

โดยจำเลยทั้งหมดได้รับการปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแก้จำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดังเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน ในคดีสนับสนุนให้พนักงานในองค์กรของรัฐกระทำความผิดเมื่อไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาให้ อสมท ทราบ ทำให้อสมท ได้รับเงินค่าโฆษณาล่าช้าจำนวน 138 ล้านบาท.